สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบทั้ง 5

ภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบทั้ง 5 เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ 
ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นมักจะต้องมาให้ได้ 
ไม่ว่าจะแวะมาดูให้เห็นด้วยตา หรือการขึ้นไปพิชิตยอดเขาด้วยตัวเองสักครั้ง 
ซึ่งหากว่าได้มาแล้วถือว่าคุ้มค่า
ด้วยภูเขาไฟลูกนี้จัดเป็นภูเขาไฟที่สวยติดอันดับโลก
ในบรรดาของภูเขาไฟจากทั่วโลก


ภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบทั้ง 5


ภูเขาไฟฟูจิ (Mt.Fuji) และทะเลสาบทั้ง 5 (Fujigoko) อยู่ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu National Park) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกแล้วรวมกับ อุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ และน้ำตกชิราอิโตะ ภายใต้ชื่อ ฟุจิซัง-สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งบันดาลใจทางศิลปะ ภูเขาไฟฟูจินั้นกินพื้นที่ของสองจังหวัดด้วยกันคือ จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi Ken) และจังหวัดชิสึโอกะ (Shizuoka Ken) โดยแบ่งกันคนละครึ่งจากสุดบนสุดของภูเขา การท่องเที่ยวของภูเขาไฟฟูจิคึกคักตลอดทั้งปี

แผนที่ทะเลสาบทั้ง 5 ภูเขาไฟฟูจิ





ภูเขาไฟฟูจิ (Mt.Fuji)


ภูเขาไฟฟูจิ (Mt.Fuji)

ภูเขาไฟฟูจิ (Mt.Fuji) กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว ด้วยความสวยงามที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เมื่อการระเบิดของภูเขาไฟและพ่นเอาลาวาออกมาทับถมกันจนมีรูปร่างอย่างที่ปรากฏให้เห็นอย่างในปัจจุบัน ยอดบนสูดอยู่ที่ 3,776 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีสันเขาลาดเอียงทำมุม 45 องศา ส่วนบนปกคลุมด้วยหิมะดูสวยงามตัดกับสีของภูเขาไฟ ภูเขาไฟแห่งนีี้ถือได้ว่าเป็นภูเขาไฟที่สวยมากลูกหนึ่งที่คนทั่วโลกรู้จัก นักท่องเที่ยวที่มาญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงอยากจะมาสัมผัสความสวยงาม การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาสามารถไปได้หลายเส้นทาง เป็นการปีนเขาที่ไม่ได้ยากและไม่ง่ายจนเกินไปไม่ต้องเป็นนักปีเขามือชีพก็สามารขึ้นถึงยอดเขาได้เพียงแค่มีความตั้งใจ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเริ่มปีนเขากันในช่วงบ่ายที่ชั้นที่ 5 แล้วแวะพักกระท่อมบนเขาที่ชั้น 7 หรือ 8 ก่อนที่จะปีนกันต่อในเวลาเที่ยงคืนเพื่อให้ถึงยอดเขาในเวลารุ่งสาง เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น เส้นทางของการปีนภูเขาไฟฟูจิมี 5 เส้นทางดังนี้

1. Kawaguchiko 5th Station จังหวัดยามานาชิ จากจุดนี้ไปจะเป็นเส้นทางคดเคี้ยวสูงชันขึ้นไปรวมแล้วระยะทางกว่า 5.8 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเดินทางไปถึงจุดเริมต้นที่ชั้น 5 ได้ง่ายด้วยทางด่วนสาย Subaru Line จาดสถานีรถไฟคาวากูชิโกะ เส้นทางชื่อว่า Kawaguchikoguchi Trail มีที่พักบนเขาหรือ ฮัท (Mountain Hut) ตั้งอยู่ระหว่างชั้น 7-8 จำนวนมาก เส้นทางนี้ใช้ระยะเวลาในการขึ้น 5-8 ชั่วโมง

2. Yoshidaguchi Trail เมืองฟูจิโยชิดะ จังหวัดยามานาชิ เริ่มเส้นทางที่ศาลเจ้าเซ็งเง็น (Sengen Shrine) ในเมืองฟูจิโยชิดะ เป็นเส้นทางขึ้นเขาที่ยาวที่สุด รวมระยะทางกว่า 17 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง แล้วจะไปบรรจบกับเส้นทางที่ 1 Kawaguchikoguchi Trail ที่ชั้น 6 จากนั้นก็ใช้เส้นทางเดียวกันตลอดระยะทาง

3. Subashiri 5th Station จังหวัดชิซึโอกะ มีรถบัสจากโกเท็มบะ (Gotemba) หรือมัตสึดะ (Matsuda) วิ่งไปถึง Subashiriguchi Trail จะไปบรรจบที่ 2 เส้นทางแรกที่ชั้น 8 จากนั้นก็ใช้เส้นทางเดียวกันตลอดระยะทาง เส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 5-8 ชั่วโมง

4. Gotemba 5th Station จังหวัดชิซึโอกะ มีรถบัสจากสถานีโกเท็มบะไปยังชั้น 5 ที่ตั้งอยู่ต่ำที่สุด จากจุดนี้จะต้องเดินขึ้นไปถึงยอดเป็นระยะทางที่ใกลที่สุด เรียกเส้นทางนี้ว่า Gotembaguchi ระหว่างทางมีที่พักบนเขา 4 แห่ง ใช้เวลาประมาณ 7-10 ชั่วโมง

5. Fujinomiya 5th Station จังหวัดชิซึโอกะ เป็นเส้นทางที่เหมาะกับการเดินทางมาจากเมืองชิซึโอกะ สะดวกไม่แพ้เส้นทางแรก แล้วต่อรถบัสจากสถานีฟุจิโนะยามะขึ้นไปยังชั้น 5 ซึ่งอยู่สูงกว่าชั้น 5 เส้นทางอื่น เรียกว่า Fujinomiyaguchi ระหว่างทางมีกระท่อมบนเขาถึง 6 จุด ใช้เวลาประมาณ 4-7 ชั่วโมง





ทะเลสาบทั้ง 5 (Fujigoko)


ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (Lake Kawaguchiko)

ทะเลสาบทั้ง 5 (Fujigoko) เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งทะเลสาบทั้ง 5 แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกพร้อมกับภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งประกอบไปด้วย

1. ทะเลสาบยามานาคะโกะ (Lake Yamanakako) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 ของภูเขาไฟฟูจิ เป็นทะเลสาบหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเองนิยมเดินทางมาเยี่ยมชม ทำให้รอบบริเวณของทะเลสาบเต็มไปด้วยรีสอร์ท สปามากมายพร้อมอำนวยความสะดวก เป็นทะเลสาบหนึ่งที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจนและสวยงาม

2. ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (Lake Kawaguchiko) เป็นทะเลสาบอีกแห่งที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยว เพราะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดเจน และเป็นสถานที่ขึ้นเรื่องการไปชมใบไม้แดง เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี บวกเขากับภาพของภูเขาที่ถูกหิมะปกคลุมทำให้วิวนั้นดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีกิจกรรมมากมายให้ได้เลือกทำที่ทะเลสาบเห็นนี้ อาทิ การแช่บ่อน้ำแร่ธรรมชาติ เป็นต้น

3. ทะเลสาบไซโกะ (Lake Saiko) เป็นทะเลสาบที่ยังคงมีธรรมชาติสวยงามด้วย ทะเลสาบแห่งนี้ได้รับการพัฒนาน้อยมากจึงคงรักษาความเป็นธรรมชาติดังเดิมเอาไว้ได้ อีกทั้งยังมี ป่าและถ้ำให้ได้เที่ยวด้วยชมความงามด้วย

4. ทะเลสาบโชจิโกะ (Lake Shojiko) เป็นทะเลสาบที่เล็กที่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 ของภูเขาไฟฟูจิ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีความน่าสนใจ เพราะความเล็กจึงทำให้สามารถเดินเล่นชมวิวของทะเลสาบได้รอบด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปพักที่พักเก่าแก่อายุกว่าปีของทะเลสาบแห่งนี้

5. ทะเลสาบโมโตสุโกะ (Lake Motosuko) ด้วยความสวยงามจึงถูกใช้เป็นพื้นหลังบนธนบัติของญี่ปุ่นพันเยนเป็นภาพของทะเลสาบกับภูเขาไฟฟูจิ ทั้งยังมีพื้นน้ำที่ใสสะอาดราวกระจำใส สามารถมองเห็นลงไปถึงก้นของทะเลสาบแห่งนี้ได้ด้วย



โปรโมชั่นที่พักราคาพิเศษใกล้ภูเขาไฟฟูจิ 

สถานที่ท่องเที่ยวในฮิไรสุมิ

ฮิไรสุมิ หรือ ฮาราอิซูมิ เมืองในจังหวัดอิวาเตะ ที่มีประวัติยาวนาน ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอยู่ถึงสองแห่ง ซึ่งทั้งสองแห่งมีความสวยงามไม่แพ้กันเลย หากได้มาภูมิภาคโทโฮคุแล้วอย่าลืมแวะมาที่ฮิไรสุมิกันให้ได้สักหน





ฮิไรสุมิ


ฮิไรสุมิ หรือ ฮาราอิซูมิ (Hiraizumi) เมืองหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) อยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซ็นได เป็นอีกเมืองที่มีประวัติเทียบเท่าได้กับเกียวโตเพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่า อาคารบ้านเรือนภายในเมืองยังคงบรรยากาศแบบเมืองเก่า สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเป็นวัดใหญ่ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแล้ว


แผนที่ฮิไรสุมิ





วัดซูซอนจิ (Chusonji Temple)


ทางเดินเข้าวัดซูซอนจิ (Chusonji Temple)

วัดซูซอนจิ (Chusonji Temple) เดินจากสถานีรถไฟ Hiraizumi ประมาณ 20-25 นาทีก็ถึงที่หมายหรือจะนั่งรถเมล์ไปก็ได้ ซึ่งจากรถเมล์ต้องเดินต่ออีก 800 เมตร ระหว่างสองข้างทางเดินเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อายุเป็นร้อยปี อีกทั้งยังมีศาลเจ้าและศาลาเล็กให้ไได้แวะชมหลายแห่ง วัดซูซอนจิเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในภูมิภาคโทโฮคุ ถูกสร้างเมื่อ พ.ศ.1393 เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในโทโฮคุ เดิมนั้นภายในวัดมีศาลาและอาคารรวมกันกว่า 300 หลัง แต่เมื่อการเวลาผ่านทั้งสงครามที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน

คอนจิกิโด (Konjikido-Golden Hall)

ทำให้ตอนนี้เหลือเพียง ฮอนโดะ (Hondo) ศาลาใหญ่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สร้างจากไม้ที่ถูฏปิดทองจนเหลืองอร่าม 3 องค์ ถัดออกมาเป็น ซันโกโสะ (Sankozo) หรือหอเก็บสมบัติ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เก็ยสมบัติของตระกูลฟุจิวาระ ผู้ปกครองเมืองฮิไรสุมิ และสิ่งของมีค่าของวัดมากกว่า 3,000 ชิ้น แต่ไฮไลท์วัดแห่งนี้อยู่ที่ พลับพลาทอง หรือ คอนจิกิโด (Konjikido-Golden Hall) เดิมทีเป็นสีทองเหลืองอร่าม ทั้งลวดลายวิจิตปิดทองประดีบมุขและอัญมณี แต่เมื่อผ่านกาลเวลามานานจึงได้ทำการบูรณะใหม่ ตัวอาคารจึงไม่ได้มีสีทองเหมือนชื่ออีก





วัดโมสึจิ (Motsuji Temple)


ฮอนโดะ (Hondo)

วัดโมสึจิ (Motsuji Temple) อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเจอาร์อิไรสุมิมากนัก เดินไม่นานก็ถึง วัดนี้ถูกสร้างในปี พ.ศ.1393 มีศาลาหลังใหญ่หรือ ฮอนโดะ (Hondo) ทาด้วยสีแดงคล้ายกับอาคารของศาลเจ้า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ชื่อ ยากุชิ เนียวไร วัดโมสึจิในอดีตยิ่งใหญ่ไม่แพ้วัดซูซอนจิเลย ซึ่งมีอาคารกว่า 40 หลัง เจดียและกุฎิพระอีกกว่า 500 หลัง

สระน้ำวัดโมสึจิ (Motsuji Temple)

แต่ก็ต้องพบเจอสงครามเหมือนกับวัดซูซอนจิเช่นกัน ทำให้ปัจจุบันเหลืออาคารเพียงไม่กี่หลัง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แวะไปดูสระน้ำ สวนหินและสวนดอกไม้สมัยเฮอัน ซึ่งจะมีดอกไม้บานสะพรั่งหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล วัดแห่งนี้จึงได้อีกชื่อว่า วัดแห่งดอกไม้ (The Temple of Flowers)
  




ขอบคุณภาพประกอบจาก
Map of Japan ,japan-guide.com ,motsuji.or.jp ,aoi.shizuoka-city.or.jp

สถานที่ท่องเที่ยวในคาโงะชิม่า

คาโงะชิม่า เมืองที่มีความน่าสนใจ ด้วยเป็นเมืองหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หนึ่งของญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ สิ่งแปลกๆ ที่ธรรมชาติได้สร้างเอาให้เราได้ดูและศึกษาประวัติศาสตร์ ที่คาโงะชิม่า จึงเป็นอีกที่ที่ควรหาโอกาสมาเที่ยวให้ได้สักครั้ง





คาโงะชิม่า


คาโงะชิม่า (Kagoshima) หรือจังหวัดคาโงะชิม่า (Kagoshima Ken) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู โดยมีเมืองคาโงะชิม่าเป็นเมืองหลวง เดิมชื่อ ซัทซึมะ ถือเป็นเมืองใหญ่สุดทางตอนใต้ของญี่ปุ่น จึงกลายเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วัฒนธรรมและคมนาคมของคิวชูใต้ เป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นห่างไปเพียง 4 กิโลเมตร คาโงะชิม่าเป็นเมืองที่มีความทันสมัยมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เนื่องจากตระกูลซัตสึมะผู้ปกครองเมืองได้เปิดรับแนวคิดของชาติตะวันตกเอาไว้หลายอย่างด้วยกัน


แผนที่คาโงะชิม่า





อนุสาวรีย์คนรุ่นใหม่แห่งซัตสึมะ (Statue of a group of Satsuma Youths)


อนุสาวรีย์คนรุ่นใหม่แห่งซัตสึมะ (Statue of a group of Satsuma Youths)

อนุสาวรีย์คนรุ่นใหม่แห่งซัตสึมะ (Statue of a group of Satsuma Youths) ตั้งอยู่หน้าสถานี Kagoshima-Chuo สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นักศึกษา 16 คน ที่ตระกูลซัตสึมะได้ส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษอย่างลับๆ เมื่อจบการศึกษาพวกเขาได้นำความรู้ศิลปะวิทยาการใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาเมืองคาโงะชิม่าจนมีความทันสมัยขึ้น





อนุสาวรีย์เซ็นต์ฟรานซิส ซาเวียร์ (Monument to Saint Francis Xavier's stay in Kagoshima)


อนุสาวรีย์เซ็นต์ฟรานซิส ซาเวียร์ 
(Monument to Saint Francis Xavier's stay in Kagoshima)

อนุสาวรีย์เซ็นต์ฟรานซิส ซาเวียร์ (Monument to Saint Francis Xavier's stay in Kagoshima) มิชชันนารีชาวสเปน คนแรกที่ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1549 อนุสาวรีย์ของท่านนั้นตั้งอยู่ใน Xavier Park ใกล้ๆ กันก็มีโบสถ์ Xavier Cherch เพิ่อฉลองการมาถึงคาโงะชิม่าของท่านครบ 450 ปี





อนุสาวรีย์ท่าน ไซโงะ ทากาโมริ (Statue of Saigo Takamori)


อนุสาวรีย์ท่าน ไซโงะ ทากาโมริ (Statue of Saigo Takamori)

อนุสาวรีย์ท่าน ไซโงะ ทากาโมริ (Statue of Saigo Takamori) ผู้ที่ฟื้นฟูอำนาจการปกครองของจักรพรรดิกลับมาได้สำเร็จ ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษคนสำคัญของเมืองคาโงะชิม่า เมื่อตระกูลซัตสึมะวางแผนล้มล้างอำนาจการปกครองของโชกุน ท่านไซโงะ ทากาโมริ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ เมื่อหมดอำนาจของโชกุน ท่านได้อัญเชิญเจ้าชายมัตสึฮิโตะสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิ และจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ อนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ใกล้กับสวนชูโอ (Chuo Park) สวนสาธารณะกลางเมือง ตรงข้ามศูนย์วัฒนธรรมของจังหวัดคาโงะชิม่า





จุดชมวิวชิโรยาม่า (Shiroyama Observation Point)


จุดชมวิวชิโรยาม่า (Shiroyama Observation Point)

จุดชมวิวชิโรยาม่า (Shiroyama Observation Point) ตั้งอยู่บนยอดเขาชิโรยาม่า เป็นจุดที่มองเห็นอ่าวคาโงะชิม่าและภูเขาไฟซากุระชิม่าจากตัวเมืองได้ชัดเจนที่สุด ก่อนถึงจุดชมวิว มีถ้ำไซโงะ (Saigo Cave) ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านได้ยอมตายด้วยการตัดศีรษะ ครั้งท่านทำการก่อกบฏเพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่ท่านแต่งตั้งยอมให้ชาวตะวันตกเขามาแทรกแซงในประเทศมากเกินไป





ซากุระจิม่า (Sakurajima)


ซากุระจิม่า (Sakurajima) เคยเป็นเกาะมาก่อน จนเมื่อปี พ.ศ. 2457 ภูเขาไฟได้พ่นเอาเถ้าถ่านสูงขึ้นไปถึง 8 กิโลเมตร และมีลาวาพุ่งขึ้นมาถึง 3,000 ล้านตัน ท่วมช่องแคบที่กว้าง 500 เมตร เชื่อมเกาะซากุระจิม่าเข้ากับแผ่นดินคาบสมุทรโอซุมิจนถึงทุกวันนี้ การไปเกาะซากุระจิม่าต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไป ซึ่งมีวิ่งไปกลับ 24 ชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ถึงเกาะซากุระจิม่า โดยรอบๆ เกาะมีที่น่าสนใจอยู่หลายจุด

วิวจากจุดชมวิวยูโนะฮิระ (Unohira Observation Point)

1. จุดชมวิวยูโนะฮิระ (Unohira Observation Point) อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ เป็นจุดที่อยู่ใกล้ยอดเขาคิตะดาเกะมากที่สุด จากจุดนี้จะสามารถมองเห็นตัวเมืองและเวิ้งน้ำของอ่าวคิโงะชิม่า

ประตูโทริอิที่ถูกฝัง (Kurokami Buried Shrine Gate)

2. ประตูโทริอิที่ถูกฝัง (Kurokami Buried Shrine Gate) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะ เป็นซุ้มประตูโทริอิของศาลเจ้าคุโรคามิ เสาโทริอินี้เหลือเพียงส่วนบนเท่านั้นที่โผล่พ้นพื้นดิน เนื่องจากเมื่อการระเบิดครั้งใหญ่ทำให้ลาวาไหลเข้าท่วมพื้นที่จนหมด

จุดชมภูเขาไฟทาบิโนซาโตะ (Tabinosato Volcano Observation Point)

3. จุดชมภูเขาไฟทาบิโนซาโตะ (Tabinosato Volcano Observation Point) เป็นจุดที่จะเห็นยอดเขามินามิดาเกะที่กำลังปะทุอยู่ได้ชัดเจน บริเวณนั้นได้จัดสถานที่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพ โดยการจำลองเอาซุ้มประตูโทริอิที่ถูกฝังมาไว้ที่นี่ด้วย

ทุ่งลาวาอาริมูร่า (Arimura Lava Bed) 

4. ทุ่งลาวาอาริมูร่า (Arimura Lava Bed) เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2457 ลาวาที่กระจายไปตามพื้นที่บนเกาะ ได้กลายเป็นรูปร่างแปลก ๆ กระจายไปทั่วบริเวณ ที่โดดเด่นคือรูปสิงโต จุดนี้เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุด





Kagoshima City Aquarium 


Kagoshima City Aquarium 

Kagoshima City Aquarium ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือเฟอร์รี่ไปเกาะซากุระจิม่า เป็นสวนสัตว์น้ำที่ใหญ่อีกแห่งของญี่ปุ่น ภายในจัดแสดงสัตว์น้ำแปลกๆ หลากหลายชนิดให้ได้ชม อยู่ภายในอุโมงค์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการแสดงของปลาโลมาให้ชมด้วย





Dolphin Port


Dolphin Port

Dolphin Port อยู่ใกล้ๆ กับ Kagoshima City Aquarium ที่แห่งนี้เป็นทั้งท่าเรือและศูนย์สรรพสินค้า ศูนย์รวมความบันเทิงของเมือง มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านของฝากสินค้าพื้นเมือง ให้เลือกมากมาย ตรงระเบียงสามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟซากุระจิม่าได้ชัดเจน






สวนมินาโตะ โอโดริ (Minato Odori Park)


สวนมินาโตะ โอโดริ (Minato Odori Park)

สวนมินาโตะ โอโดริ (Minato Odori Park) อยู่ไม่ไกลจาก Dolphin Port เป็นสวนสวยอยู่กลางเมืองหน้าศาลาที่ว่าการเมือง (City Hall) สวนนี้มีดอกไม้ปลูกไว้มากมายหลายชนิด จากตรงนี้สามารถนั่งรถรางกลับไปที่สถานี Kagoshima Chuo ได้





ขอบคุณภาพประกอบจาก
Map of Japan ,toppa.com ,japanvisitor.blogspot.com ,tripadvisor.com
cuso4.org ,en.japantravel.com ,kic-update.com ,natatnotetravel.blogspot.com
Trip to Japan ,sakurajima.gr.jp ,tripadvisor.co.uk ,ja.wikipedia.or

สถานที่ท่องเที่ยวในคุมาโมโตะ

คุมาโมโตะ เมืองหนึ่งที่มีสถานทีท่องเที่ยวที่หลากหลาย และน่าสนใจแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งไม่ว่าจะแบบไหนก็น่าสนใจไม่แพ้กัน หากอยากรู้ว่าจะน่าสนใจอย่างไรลองน่าเที่ยวขนาดไหนเชิญลองอ่านกันได้เลย





คุมาโมโตะ


คุมาโมโตะ (Kumamoto) ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองฟุกุโอกะ ตรงจุดศูนย์กลางของเกาะคิวชู เมืองนี้ได้รับฉายาว่า เมืองปราสาทใหญ่ เนื่องจากที่เมืองนี้มีปราสาทคุมาโมโตะอายุกว่า 400 ปี และสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่น่าสนใจ และแตกต่างกันออกไปให้ได้เลือกเที่ยวแบบไม่เบื่อ



แผนที่คุมาโมโตะ





ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle)


ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle)

ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองคุมาโมโตะ เป็นปราสาทที่มีอาณาเขตกว้างขวางติด 1 ใน 3 ของปราสาทใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างโดยแม่ทัพคาโตะ คิโยมาสะ ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นไดเมียวปกครองเมืองคุมาโมโตะ ในสมัยมูโระมาจิ จนเมือท่านไดเมียวเสียชีวิตลง ปราสาทก็ตกเป็นของตระกูลโฮโสะกาวะถึง 240 ปี ปราสาทแห่งนี้ประกอบไปด้วยหอป้อมปราการ 49 หลัง ช่องทางเข้าสูปราสาท 29 ประตูที่สับสลับซับซ้อน เพื่อสร้างความมึนงงให้กับศัตรูที่บุกเข้ามา แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 5 ประตูเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ถูกทำลายไปเมื่อครั้งกบฏซัทสึมะ ช่วงการปฏิรูปเมจิตัวปราสาทที่เห็นกันในปัจจุบันก็บูรณะใหม่เมื่อ พ.ศ.2503 ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่เหมือนปราสาทอื่นๆ





สวนซุยเซนจิ (Suizenji Garden)


สวนซุยเซนจิ (Suizenji Garden)

สวนซุยเซนจิ (Suizenji Garden) สวนสไตล์ญี่ปุ่นที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 โดยตระกูลโฮโซคาวะ มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ภายในสวนมีทั้งศาลเจ้าอิซูมิที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษตระกูลโฮโซคาวะ ภูเขาขนาดย่อมจำลองแบบมาจากภูเขาไฟฟูจิ โรงน้ำชาและทะเลสาบที่มีฝูงปลาคาร์พแหวกว่ายไปมาอย่างอิสระ





อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟอะโสะคุจู (Aso-Kuju National Park)


ปล่องภูเขาไฟนาคะดาเกะ (Nakadake Crater)

อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟอะโสะคุจู (Aso-Kuju National Park) ซึ่งจุดหมายปลายทางของการมาที่อุทยานแห่งนี้ก็คือ ปากปล่องภูเขาไฟนาคะดาเกะ  (Nakadake Crater) ซึ่งสามารถนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปได้ ปากปล่องภูเขาไฟนาคะดาเกะเป็น 1 ใน 5 ของปล่องภูเขาไฟอาโสะที่ยังคุกรุ่นอยู่ ส่วนอีก 4 ปล่องนั้นดับไปแล้วได้แก่ เนะโกะดาเกะ (Nekodake) ทากาดาเกะ (Takadake) คิจิมาดาเกะ (Kijimadake) และอิโบชิดาเกะ (Eboshidake) ทั้งหมดเรียกว่า อาโสะ โกทาเกะ (Aso Gotake) เป็นหุบเขาภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทิวทัศน์บริเวณปากปล่องได้ฉายาว่า "แกรนด์ แคนย่อนแห่งตะวันออก ด้วยมีหน้าผาที่สูงชัน ทางอุทยานจัดทางเดินให้สามารถเดินได้สะดวก และทางที่สามารถขับรถยนต์ขึ้นถึงข้างบนได้





สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในเมืองคุมาโมโตะ


1. พิพิธภัณฑ์ศิลปะจังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto Prefectural Art Museum) 

2. พิพิธภัณฑ์เมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto City Museum) จัดแสดงสมบัติของตระกูลโฮโสะกาวะผู้ปกครองเมืองมายาวนานถึง 240 ปี

3. ศูนย์หัตถกรรมโบราณคุมาโมโตะ (Prefectural Traditional Crafts Center) จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องประดับ เครื่องกระเบื้องฝีมือชาวเมืองคุมาโมโตะ ของเล่นโบราณ และของฝากของที่ระลึก




ขอบคุณภาพประกอบจาก
Map of Japan ,FANTASTIC1 ,globeimages.net ,travelpanda.org

สถานที่ท่องเที่ยวในอิเสะ - โทบะ

อิเสะ และ โทบะ เป็นอีกสองเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งก็แตกต่างกันออกไปกันคนละแบบซึ่งแต่ละที่ก็น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันเลย แต่จะเป็นสถานที่แบบไหนนั้นก็ต้องลองอ่านแล้วไปพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าจะน่าสนใจจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า



อิเสะ - โทบะ


อิเสะ (Ise) ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดมิเอะ (Mie Ken) มีชายฝั่งติดทะเลด้านมหาสมุทรแปรซิฟิค เมืองอิเสะเป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่นเพราะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าใหญ่ (Ise Jingu) เป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น

โทบะ (Toba) จะไม่ไกลจากเมืองอิเสะมากนัก ที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตไข่มุกคุณภาพจากเกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) และเรื่องราวของอะมะ (Ama) กลุ่มสตรีผู้ดูแลไข่มุกที่ดำน้ำได้อึดที่สุด



แผนที่อิเสะ





ศาลเจ้าใหญ่แห่งเมืองอิเสะ (Isejingu Shrine)


ศาลเจ้าใหญ่แห่งเมืองอิเสะ (Isejingu Shrine) คนญี่ปุ่นรู้จักในอีกชื่อหนึ่ง "โอะ อิเสะ ซัง" (Oise-san) มาตั้งแต่สมัยโบราณ ศาลเจ้าใหญ่แห่งเมืองอิเสะนี้ถือเป็นอันดับ 1 ของศาลเจ้าชินโต ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าศาลเจ้านี้มานานแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี ทุก ๆ 20 ปีจะมีการจัดพิธี "ชิกิเนง เชงกุ" (Shikinen Sengu) เป็นพิธีกรรมสับเปลี่ยนศาลเจ้า หลังใหม่ของทั้งสองศาลเจ้า ซึ่งครั้งที่ 62 จัดไปเมื่อปี พ.ศ.2556 ศาลเจ้านี้แบบออกเป็น 2 แห่ง คือ

ศาลเจ้าชั้นนอก (Outer Shrine)

ศาลเจ้าชั้นนอก (Outer Shrine) เรียกว่า โทโยเกะ ไดจิงงุ หรือ เงะกุ (Toyouke-Daijingu : Geku) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรมนามว่า โทโยเกะ โอมิคามิ จากสถานี Ise-shi เดินตามเสาหินประดับโคมไฟริมถนนไปเรื่อยๆ ไม่ถึง 10 นาที เมื่อเดินข้ามสะพานเล็กๆ ก็จะเห็นเสาโทริอิ ด้านหน้ามีการ ด้านหน้ามีการจัดไม้ดัด ภายในร่มรื่นไปด้วยต้นไม้อายุนับร้อยปี เมื่อเดินมาตามทางหินกรวดไม่นานก็จะถึงตัวอาคาร ศาลเจ้าหลัก เรียกว่า "โชงุ" (Shogu) ที่เห็นหลังคาเป็นสีเขียวนั้นเกิดจากการขึ้นของหญ้ามอลสีเขียวที่ขึ้นจะทั่วทำให้ดูสวยงาม รอบๆ มีศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่อีกหลายแห่ง ที่ศาลเจ้าจะพบมัดรวงข้าวห้อยไว้ตามศาล ซึ่งถือเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม ที่ลำธารเล็กๆ ก็มีฝูงปลาคาร์ฟแวกว่ายอยู่

ศาลเจ้าชั้นใน (Inner Shrine)

ศาลเจ้าชั้นใน (Inner Shrine) โคไตจิงงุ หรือ ไนกุ (Kotaijingu : Naiku) สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สักการะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เทพเจ้าอะมะเทระสุ โอมิคามิ สามารถนั่งรถเมล์จากป้ายรถเมล์ที่หน้าศาลเจ้าชั้นนอกได้ ซึ่งศาลเจ้าชั้นในห่างออกมาประมาณ 6 กิโลเมตร เสาโทริอิที่นี่มีชื่อเรียกว่า "ไดอิชิ โทริอิ" (Daiichi-Torii) ตั้งขวางสะพานอุจิ (Uji-Bashi) สะพานข้ามแม่น้ำอีซูซุ (Isuzu) จากนั้นเดินตามทางหินกรวดผ่านเสาโทริอิต้นที่ 2 จากตรงนี้จะมีทางเดินให้ลงไปที่แม่น้ำ ที่เชื่อกันว่าเป็นแม่น้ำศักสิทธิ์บ้างคนก็นำมาพรมตามร่างกายเพื่อความเป็นศิริมงคล ก่อนจะเดินไปที่อาคารศาลเจ้าหลัก ซึ่งภายในศาลเจ้านั้นดูร่มรื่นเช่นเดียวกับศาลเจ้าชั้นนอก แต่ที่ศาลเจ้านี้จะมีคนเดินทางมาสักการะเยอะกว่าศาลเจ้าชั้นนอก





โอฮาไรมาชิ (Oharaimachi)


โอฮาไรมาชิ (Oharaimachi)

โอฮาไรมาชิ (Oharaimachi) ตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูทางเข้าศาลเจ้าชั้นในนั่นแหละ ถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนสายโบราณ สองข้างทางของถนนมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนมพื้นเมือง เรียงรายในบรรยากาศของอาคารที่ดูย้อนยุคตั้งแต่สมัยเอโดะจนถึงเริ่มยุคเมจิ ถนนสายนี้มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ของที่ระลึกที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นของเล่นที่ทำจากไม้ สินค้าพื้นเมือง ขนม เป็นต้น พ่อค้าแม่ค้าเองก็จะแต่งกายย้อนยุคให้เข้ากับบรรยากาศของถนนเส้นนี้ด้วย





เมะโอโตะ อิวะ (Meoto-Iwa)


เมะโอโตะ อิวะ

เมะโอโตะ อิวะ (Meoto-Iwa) อยู่ที่เมืองฟุตามิ (Futami) ก่อนเข้าไปถึงหินแต่งงานเมะโอโตะ อิวะ จะเห็นประตูเสาโทริอิสีแดงของศาลเจ้าโอกิตามะ แล้วให้เดินเรียบทางเดินริมทะเลไปอีกนิด ก็จะเจอหินก้อนใหญ่และหินก้อนเล็กที่ถูกโยงไว้ด้วยเชือกอยู่กลางทะเล ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นหินเทพเจ้า ที่สื่อความหมายถึงการมีชีวิตคู่ที่ราบรื่น มีความสุข อยู่ด้วยการตราบนานเท่านาน

กบทองสำริด

หินก้อนใหญ่ชื่อว่า "อิซานิงิ" (Izanagi) เป็นหินผู้ชาย ส่วนหินก้อนเล็กชื่อว่า "อิซานามิ" (Izanami) เป็นหินผู้หญิง เชื่อกันว่าหากใครได้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นระหว่างหินทั้งสองจะโชคดีทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ไม่ห่างกันยังมีกบเทพเจ้าให้ลูบขอพรอีกด้วย เป็นกบทองสำริดตั้งอยู่กลางแจ้ง เชื่อกันว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ประทานลงมาเพื่อช่วยชาวโลกให้ร่ำรวยเงินทอง





เกาะไข่มุขมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) 


เกาะไข่มุขมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island)

เกาะไข่มุขมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) อยู่ที่เมืองโทบะ เป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลห่างจากฝั่งไม่เกินร้อยเมตร มีสะพานเชื่อมเข้าสู่ตัวเกาะ ไข่มุกกลายเป็นอัญมณีมีค่าในญี่ปุ่นโดยท่านโคชิกิ มิกิโมโต เมือไข่มุกขายถูกสร้างรายได้มากกว่าการนำไขมุกไปทำยาตามความเชื่อของญี่ปุ่น และจากการที่ท่านโคชิกิสังเกตอะมะ (Ama) กลุ่มสตรีที่ดำน้ำหาอาหารในทะเลมักจะได้หอยที่มีมุกฝั่งตัวกลับมาเสมอ ทำให้เกิดฟาร์มเพราะเลี้ยงหอยมุกขึ้น และรับอะมะเข้ามาทำงานในฟาร์มของเขา ซึ่งจะทำหน้าที่เอาหอยมุกที่วางนิวเคลียสแล้วลงไปไว้ที่ก้นทะเล ยามที่เกิดอุปสรรคที่เป็นอันตรายต่อหอยมุก อะมะก็จะเป็นผู้ที่ย้ายหอยมุกไปไว้ในที่ปลอดภัย

อนุสาวรีย์ของท่านโคชิกิ มิกิโมโตะ

แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วย อะมะจึงมีหน้าที่แสดงโชว์การดำน้ำให้นักท่องเที่ยวชมแทน เมื่อข้ามสะพานไปจะพบบอนุสาวรีย์ของท่านโคชิกิ มิกิโมโตะ ที่สร้างโดยบรรดาอะมะเพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านได้สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่งคงให้พวกเธอ ตรงข้ามอนุสาวรีย์เป็น พิพิธภัณฑ์ไข่มุก (Pearl Museum) จัดแสดงรายละเอียดกรรมวิธีในการทำเครื่องประดับจากไข่มุกซึ่งเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงหอยมุก ไปจนถึงการทำเครื่องประดับ





ขอบคุณภาพประกอบ
Map of Japan ,es.wikipedia.org ,houseofjapan.com ,Joel Abroad ,j-plan.co.th
mic00l ,tkz1011 ,muza-chan.net

สถานที่ท่องเที่ยวในทาคายามะ

ทาคายามะ เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวรู้จักกันมากจากเทศกาลทาคายามะ หรือเทศกาลแห่เกี้ยวยาไต เทศกาลสำคัญ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น เมื่อได้มาแล้วลองเที่ยวให้ทั่วแล้วจะรู้ว่ายังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งในเมืองทาคายามะนี้


ทาคายามะ

ทาคายามะ (Takayama) หรือ ฮิดะ ทาคายามะ (Hida Takayama) อยู่ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) เป็นเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ที่กลางขุนเขาเจแปนแลป์ เมืองนี้จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ และทำให้มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน อายุราว 300 ปี ก่อตั้งโดยซามูไรตระกูลคานาโมริ ในสมัยเอโดะบรรยากาศในเมืองยังคงกลิ่นอายของบ้านเรือนในยุคสมัยก่อน ภายในเมืองทาคายามะมีสะพานทอดข้ามแม่น้ำหลายแห่ง มีอาคารบ้านเรือนเก่า ศาลเจ้า วัด กระจายอยู่ทั่วเมือง



 แผนที่ทาคายามะ





พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านฮิดะ โนะ ซาโตะ (Hida-no-sato)


พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านฮิดะ (Hida Folk Village)

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านฮิดะ (Hida Folk Village) หรือ ฮิดะ โนะ ซาโตะ (Hida-no-sato) ตั้งอยู่บนเชิงเขามัตสึคุรายามะ (Matsukurayama) ทางตะวันตกไม่ไกลมากนัก ที่นี้รวบรวมเอาบ้านแบบโรงนาแบบกระท่อมบนเขาของชาวไร่ตั้งแต่สมัยเอโดะถึงต้นสมัยเมจิ จากที่ต่างๆ ภายในเมืองทาคายามะและเมืองใกล้เคียงมาจัดแสดงเอาไว้ สามารถเข้าไปชมภายในบ้านได้ซึ่งก็จะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านด้วย บนเขาก็จะมีวัดและศาลเจ้า จัดบรรยากาศให้เมือนหมู่บ้านจริงๆ





ทาคายามะจินยะ (Takayama Jinya) 


ทาคายามะจินยะ (Takayama Jinya) 

ทาคายามะจินยะ (Takayama Jinya) เป็นศาลาว่าการเมืองสมัยเอโดะ เป็นศาลาว่าการเมืองฮิดะ (Historical Government House) ตั้งแต่ราวปี พ.ศ.2235 ใช้เป็นศูนย์การปกครองเมืองฮิดะ ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ อย่างห้องสำนักงาน ห้องที่ใช้ในการพิจารณาคดีและที่คุมขังนักโทษ ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่พักของผูปกครองเมืองซึ่งได้รับการแต่งตั้งมาจากโชกุนในเมืองโตเกียว ที่แห่งนี้ใช้ว่าราชการอยู่ราว 176 ปี แล้วเข้าสู่ยุคการปฏิรูปสมัยเมจิ





ซัง-มาชิ ซูจิ (San-machi Suji)


อาคารเก่า ซัง-มาชิ ซูจิ (San-machi Suji) 

อาคารย่านเมืองเก่า ซัง-มาชิ ซูจิ (San-machi Suji) อยูไม่ไกลจากศาลาว่าการเมืองเก่า เดินข้ามสะพานแดงนากาบะชิ (Nakabashi) มานิด ซัง-มาชิ ซูจิ เป็นชุมชนย่านเมืองเก่า สองข้างถนนนั้นเรียงรายไปด้วยอาคารไม้เก่าๆ สองชั้นแบบญี่ปุ่น ซึ่งก็ดัดแปลงให้เป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนม หรือเรียวกัง บริเวณที่หน้าร้านหน้าบ้านแต่ละหลังจะเป็นทางน้ำไหลซึ่งเป็นน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา นอกจากนี้ยังมีบริการรถลากให้ได้เลือกใช้บริการเพื่อชมบรรยากาศแบบย้อนยุคได้อีก และต้องไม่ลืมเลือกซื้อตุ๊กตาซารุโบโบะ ที่มีหลากหลายขนาด ซึ่งตุ๊กตาใช้เป็นเครื่องราง ที่ทำให้มีความสุข โชคลาภสุขภาพ ความรรัก เป็นต้น





หอนิทรรศการเกี้ยวลากทาคายามะ (Takayama Festival Floats Exhibition Hall)


เกี้ยว หรือ ยาไต (Yatai)

หอนิทรรศการเกี้ยวลากทาคายามะ (Takayama Festival Floats Exhibition Hall) หรือ ยาไต ไคคัง (Takayama Yatai-Kaikan) เป็นสถานที่เก็บรักษาเกี้ยวลากที่ใช้ในขบวนแห่ในเทศกาลทาคายามะ (Takayama Matsuri) ซึ่งจะจัดปีละ 2 ครั้ง คือช่วง 14-15 เมษายน เรียกว่า ซันโน-ซะมะ (Sanno-Sama) เป็นงานของศาลเจ้าฮิเอะ (Hie Shrine) อยู่ทางใต้ของเมืองทาคายะมา อีกช่วงคือ 9-10 ตุลาคม เรียกว่า ฮาจิมังมัตสึริ (Hachiman Matsuri) เป็นของศาลเจ้าซากุระยามะ ฮาจิมัง (Sakurayama Hachiman Shrine) ซึ่งอยู่ด้านหลังของหอนิทรรศการแห่งนี้

ศาลเจ้าซากุระยามะ ฮาจิมัง (Sakurayama Hachiman Shrine)

ภายในหอจัดแสดงนี้ มีรถเกี้ยวยาไต (Yatai) จัดแสดงไว้ให้ชมหลายคัน ซึ่งแต่ละคันก็มีชื่อเรีกยแตกต่างกันออกไป เกี้ยวลากนี้ทำจากไม้นำมาแกะสลัก ลงสี ปิดทองอย่างประณีต เมื่อเดินชมภายในหอแสดงมาเรื่อยๆ จะมาทะลุออกที่ด้านหลังศาลเจ้าซากุระยามะ ซึ่งก็เป็นศาลเจ้าที่หน้าเข้าไปชมอีกแห่งหนึ่ง





ตลาดนัดยามเช้า (Morning Market)


ตลาดนัดยามเช้า (Morning Market)

ตลาดนัดยามเช้า (Morning Market) ของทาคายามะนี้มีอยู่ 2 ที่ด้วยกันคือ ตลาดเช้าจินยะมาเอะ ซึ่งอยู่บริเวณลานด้านหน้า Takayama Jinya อีกแห่งอยุ่มที่ริมแม่น้ำมิยางาวะ เรียกว่า ตลาดเช้ามิยางาวะ ซึ่งทั้งสองแห่งจะมีบรรดาเกษตรกรและพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าของตนเองมาวางขาย ซึ่งสินค้าก็เป็น พืชผลทางการเกษตร งานหัตถกรรม ตลาดทั้งสองจะอยู่ถึงประมาณเกือบเที่ยงเท่านั้น





วัดโคคุบังจิ (Hida Kokubun-ji Temple)


เจดีย์ 3 ชั้น

วัดโคคุบังจิ (Hida Kokubun-ji Temple) เป็นวัดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเมืองทาคายามะ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุราว 1,250 ปี  โดดเด่นด้วยเจดีย์ 3 ชั้นตั้งอยู่คู่กับต้นแปะก๊วย อายุยืนอยู่คู่กับวัดนี้มานานนับพันปี มีพระพุทธรูปหินองค์เล็กๆ ประดิษฐานอยู่ภายในซอกของต้นไม้ 





ขอบคุณภาพประกอบ

สถานที่ท่องเที่ยวในนางาซากิ

นางาซากิ เมืองหนึ่งที่เป็นกลายเป็นเมืองประวัติศาสตรเมื่อ ระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตกลงที่นี้ แต่เมืองแห่งนี้ไม่ได้มีความน่าสนใจเพียงเรื่องนี้อย่างเดียว แต่เมืองนี้ยังมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจมากกว่านั้น หากอยากรู้เมืองจะมีความน่าสนใจอย่างไร ลองอ่านและไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยดีกว่า





นางาซากิ


นางาซากิ (Nagasaki) ตั้งอยู่ในจังหวัดนางาซากิ (Nagasaki Ken) อยู่ทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะคิวชู ในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ มีการติดต่อกับชาติใกล้เคียงอย่างจีนและเกาหลี จนเมื่อชาวโปรตุเกตเข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นางาซากิเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ได้รับความเสียหายจากการถูกทิ้งระเบิดปรมาณูครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองแหง่นี้จึงกลายเป็นเมืองแห่งสันติภาพ เพื่อใหดชาวโลกตะหนักถึงพิษภัยของจากสงครามที่มีแต่ความสูญเสีย ภูมิประเทศของนางาซากิเป็นน่าเที่ยว บ้านเรือนตั้งอยู่บนเนินเขาที่ลดลั่นกันมาและบรรยากาศสบายๆ จากลมทะเลที่พัดเข้ามา อีกทั้งการเดินทางก็สะดวกสบาย



แผนที่นางาซากิ





โบสถ์คาทอลิคโออุระ (Oura catholic Church)


โบสถ์คาทอลิคโออุระ (Oura catholic Church)

โบสถ์คาทอลิคโออุระ (Oura catholic Church) นั่งรถรางไปลงที่ป้าย Oura Tenshudo-shita แล้วเดินขึ้นเนิน ก็จะเห็นยอดของโบสต์ที่ตั้งสูงโดดเด่นสวยงาม โบสต์คาทอลิคโออุระ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.1865 เพื่อเป็นการระลึกถึงมิชชันนารีและชาวคริสต์ญี่ปุ่นที่ถูกตรึงกางเขนทั้ง 26 คน เมื่อสมัยเอโดะด้วยทางการญี่ปุ่นกลัวการโค่นล้มอำนาจจากชาวญี่ปุ่นที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ภายในบริเวณมีปฏิมากรรมนักบวชถูกตรึงกางเขนและภาพแกะสลักหินการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น เข้าไปภายในโบสต์มีภาพกระจกสีที่สวยงามอยู่ด้วย





สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden)


Glover House

สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) เป็นพื้นที่ของบริษัท Glover & Co. ก่อตั้งโดยชาวสก็อตชื่อ โทมัส เบล็กโกลฟเวอร์ ที่เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ.2402 บริษัทแห่งนี้มีส่วนในการพัฒนานางาซากิและสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับเมือง ไม่ว่าจะเป็น ทางรถไฟสายแรก โรงกษาปน์แห่งแรก โรงพิมพ์ อู่ต่อเรือ เป็นต้น เมื่อ โทมัสได้แต่งงานกับสาวเกอิชานางหนึ่งจึงได้สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ขึ้น โดยนำสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและญี่ปุ่นมาผสมเข้าด้วย ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในสวนก็ยังมีอาคารอีกหลายหลังตั้งอยู่ เมื่อมองลงมาจากด้านบนจะมองเห็นทิวทัศน์อ่าวนางาซากิ ท่าเรือและตัวเมืองได้อย่างชัดเจน

Dock House

อาคารหลังที่อยู่บนสุดเป็นบ้านพักของลูกเรือของบริษัทมิตซูบิชินางาซากิ (Former Mitsubishi No.2 Dock House) ภายในจัดแสดงโมเดลเรือ ภาพการเดินเรือในสมัยโบราณ ภาพถ่ายของท่าเรือนางาซากิ ด้านบนเป็นจุดชมวิวบริเวณท่าเรือนางาซากิ ก่อนถึงคฤหาสน์ของโกลฟเวอร์ จะต้องเดินผ่าน อาคารอีกหลายหลาย อาทิ Walker House, Ringer House, Alt House เป็นต้น ซึ่งบ้านแต่ละหลังก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ภาพถ่ายเรื่องราวของเจ้าของบ้านและคุณาประโยชน์ที่มีต่อชาวญี่ปุ่น มาถึงไฮไลต์คือ คฤหาสน์โกลฟเวอร์ (Glover House) เป็นอาคารไม้สไตล์ยุโรปชั้นเดียว ที่ลานด้านหน้าของคฤหาสน์มีหินรูปหัวใจว่ากันว่าถ้าหาหินนี้เจอจะสมหวังในความรัก





เนินฮอลแลนด์ (Hollander Slope, Dutch Slope)


เนินฮอลแลนด์ (Hollander Slope, Dutch Slope)

เนินฮอลแลนด์ (Hollander Slope, Dutch Slope) จากสถานีรถราง Shiminbyoin-mae เดินขึ้นเนินตามทางที่ปูจากหินผ่านกำแพงอิฐเก่าสลับอาคารแบบตะวันตก ที่นี่เคยเป็นชุมชนของชาวดัตช์ ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่กี่หลัง ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า โอรันดะ ซางะ (Oranda Zaga) บ้านเลขที่ 12 Higashiyamate นั้นถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีและจักเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของนางาซากิและการเข้ามาของชาวดัตช์





นางาซากิ ไชน่าทาวน์ (Nagasaki chinatown)


นางาซากิ ไชน่าทาวน์ (Nagasaki chinatown)

นางาซากิ ไชน่าทาวน์ (Nagasaki chinatown) อยู่ห่างจากเนินฮอลแลนด์ ประมาณ 500 เมตร ถ้ามารถรางก็ให้ลงที่สถานี Tsuki-machi ไชน่าทาวน์นางาซากิเป็น 1 ใน 3 ของไชน่าทาวน์ในญี่ปุ่น เป็นชุมชนชาวจียที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากมณฑลฟูเจี้ยน เดิมทีอาศัยอยู่ใกล้กับวัดโคฟุกุจิ แต่เกิดไฟไหม้ทางการจึงจัดที่พักให้อยู่ในย่านชินจิมาจิ (Shichi-machi) จนถึงปัจจุบัน ที่นี่ยังเป็นแห่งเดียวที่ยังมีสถาปัตยกรรมแบบจีนแท้ๆ หลงเหลืออยู่





สะพานแว่นตาเมงาเนะบาชิ (Meganebashi)


สะพานแว่นตาเมงาเนะบาชิ (Meganebashi)

สะพานแว่นตาเมงาเนะบาชิ (Meganebashi) เป็นสะพานหินเก่าแก่ทออดข้ามแม่น้ำนากาชิมะ (Nakashimagawa) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองนางาซากิ สะพานนี้สร้างโดยพระภิกษุจากวัดโคฟุกุจิ ในปี พ.ศ.2177 เพื่อเป็นหนทางไปสู่ตัววัด เดิมสะพานแห่งนี้เป็นสะพานหินโค้งที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่เมื่อครั้งเกิดอุทกภัยใหญ่ พ.ศ.2505 ตัวสะพานได้พังทลายลง สะพานที่เห็นปัจจุบันเป็นสะพานที่สร้างขึ้นมาโดยการเลียนแบบสะพานเดิม





วัดโคฟุกุจิ (Kofukuji Temple)


วัดโคฟุกุจิ (Kofukuji Temple)

วัดโคฟุกุจิ (Kofukuji Temple) เป็นวัดจีนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2163 ตรงเชิงเขาด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ติดกับชุมชนคนจีนเดิมที่ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ในย่านชินจิมาจิ ตัววัดสร้างโดยการใช้สถาปัตยกรรมแบบจีน โดยมีวิหารหลังใหญ่ภายในและภายนอกทาด้วยสีแดงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 3 องค์ สวนภายในวัดก็รับอิทธิพลจากจีนมา





วัดโซฟุกุจิ (Sofukuji Temple)


วัดโซฟุกุจิ (Sofukuji Temple)

วัดโซฟุกุจิ (Sofukuji Temple) ตั้งอยู่บนเชิงเขาห่างจากวัดโคฟุกุจิประมาณ 700 เมตร สร้างโดยพระโชเน็ง เมื่อปี พ.ศ.2172 เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมในช่วงยุคราชวงศ์หมิงของจีน ซุ้งประตูทางเข้าทาด้วยสีแดงเป็นซุ้มประตูแห่งเดียวในญี่ปุ่น จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติสำคัญของชาติ ด้านวิหารของวัด วิหารมาโซโดะ มีรูปปั้นยักษ์เฝ้าประตูอยู่ 2 ตน ภายในเป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมและองค์เจ้าแม่หม่าโจว เทพีแห่งท้องทะเลที่ค่อยปกป้องชาวเรือ





พิพิธภัณฑ์มินิเดจิมะ (Mini Dejima)


พิพิธภัณฑ์มินิเดจิมะ (Mini Dejima)

พิพิธภัณฑ์มินิเดจิมะ (Mini Dejima) ดัดแปลงจากโกดังเก่า มีแบบจำลองชุมชนบนเกาะเดจิมะในอดีต ซึ่งเคยเป็นชุมชนสำหรับพ่อค้าชาวต่างชาติที่จะเข้ามาติดต่อค้าขายหลังจากที่ญี่ปุ่นได้มีการปราบกบฏชิมมาบาระและปิดประเทศผ่านมา 200 ปี ชุมชนเล็กๆ มีกำแพงและคูน้ำล้อมรอบมีอาคารอยู่หลายหลัง ทางเข้าออกมีเพียงทางเดียว นอกจากนี้ยังมีอาคารแสดงนิทรรศการหลายหลัง โรงภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของอาณาจักรดัตช์ในแห่งนี้ ผู้ที่ได้นำเอาวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาในญี่ปุ่น





อนุสรณ์สถานแห่งการทรมานนักบุญทั้ง 26 (Site of the Martyrdom of the 26 Saints)


อนุสรณ์สถานแห่งการทรมานนักบุญทั้ง 26 
(Site of the Martyrdom of the 26 Saints)

อนุสรณ์สถานแห่งการทรมานนักบุญทั้ง 26 (Site of the Martyrdom of the 26 Saints) ซึ่งสร้าง ณ บริเวณที่นักบุญทั้ง 26 คนได้ถูกตรึงกางเขน โดยมีเป็นมิชชันนารีชาวสเปน 6 คนและชาวคริสต์ญี่ปุ่น 20 คน เมื่อครั้งญี่ปุ่นมีการกวาดล้างผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในประเทศ ผู้เสียชีวิตทั้ง 26 คนได้รับการยกย่องจากพระสันตปาปา เมื่อ ค.ศ.1862 ร้อยปีต่อมาจึงได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น





สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park)


สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park)

สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park) เดินจากสถานีรถราง Matsuyama-machi เดินขึ้นเนินไปก็ถึง บริเวณของสวนสันติภาพนางาซากิมีน้ำพุอยู่ตรงทางเข้า สร้างเพื่อรำลึกถึงเหยื่อระเบิดปรมาณูที่กระหายน้ำจนเสียชีวิต เลยเข้าไปจะพบกับอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ผู้ชายที่สร้างขึ้นเพื่อให้สื่อถึงภัยของระเบิดปรมาณูและความปรารถนาในสันติภาพ นอกจากนี้ภายในสวนยังมีรูปปั้นที่สื่อถึงการขอสันติภาพแก่โลกอีกหลายแบบ สวนแห่งนี้สร้างทับพื้นที่ของคุกเก่าที่ยังคงหลงเหลือร่อยรอยของกำแพงให้เห็นอยู่ ยังมีผู้คนนำดอกไปวางไว้เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้คุมและนักโทษที่เสียชีวิตครั้งนั้น เพราะคุกแห่งนี้อยู่ห่างจากจุดทิ้งระเบิดไปไม่กี่ร้อยเมตร





โบสถ์อุราคามิ (Urakami Cathedral)


โบสถ์อุราคามิ (Urakami Cathedral)

โบสถ์อุราคามิ (Urakami Cathedral) โบสถ์โรมันคาทอลิคที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ห่างจากสวนสันติภาพประมาณ 400 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1925 แต่ที่เห็นในปัจจุบันนั้นได้สร้างขึ้นมาใหม่เมื่อปี ค.ศ.1959 ซึ่งโบสถ์เก่านั้นได้ถูกอานุภาพของระเบิดปรมาณูที่ตกห่างไปไม่สิบเมตรทำลายไปจนหมด ซึ่ง ณ เวลานั้นมีบาทหลวงและชาวคริสต์กำลังสวดมนต์อยู่ภายในโบสถ์ ที่บริเวณหน้าโบสถ์มีรูปสลักหินนักบุญไร้ศีรษะไหม้เกรียมจากแรงระเบิดตั้งไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจถึงความน่ากลัวของสงคราม





พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum)


พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum)

พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum) ภายในจัดแสดงเรื่องราวของการถูกระเบิดของเมืองด้วยลูกระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 จนเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้องประกาศแพ้สงคราม เมื่อเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์จะพบภาพจำลองความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในโบสถ์อุราคามิประกอบเสียงสวดที่ก้องออก ทั้งยังมีหลักฐานความสูญเสียที่เก็บรวบรวมเอา ในพิพิธภัณฑ์ยังมีข้อมูลของระเบิดปรมาณูที่ยังคงมีอยู่ในโลกใบนี้





วิวบนยอดเขาอินาสะ (Mt.Inasa Ropeway)


วิวบนยอดเขาอินาสะ (Mt.Inasa Ropeway)

วิวบนยอดเขาอินาสะ (Mt.Inasa Ropeway) ในยามค่ำคืนนั้นเป็นอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด ด้วยวิวของเมืองนางาซากิในเวลาค่ำคืนนั้นถือว่าสวยงามมากด้วยแสงไฟที่ ส่องสว่างในเวลาค่ำ ต้องนั่งกระเช้าที่สถานีกระเช้าไฟฟ้า Nagasaki Ropeway ใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็ถึงจุดชมวิวบนยอดเขาอินาเสะ (Inasa Lookuot and Park) ซึ่งตั้งอยู่ที่ความสูง 333 เมตร สามารถมองเห็นวิวของเมืองนางาซากิได้ทั้งเมือง





สวนสนุกสไตล์ฮอลแลนด์ (Huis Ten Bosch)


สวนสนุกสไตล์ฮอลแลนด์ (Huis Ten Bosch)

สวนสนุกสไตล์ฮอลแลนด์ สวนสนุกเฮ้าส์ เท็น บอสซ์ (Huis Ten Bosch) ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลใกล้เมืองซาเซะโบะ (Sasebo) แต่ยังอยู่ในจังหวัดนางาซากิ เดินทางมาได้ง่ายทั้งฟุกุโอกะและนางาซากิ  ที่นี่เป็นทั้งสวนสนุกและรีสอร์ทสไตล์ฮอลแลนด์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2535 เพื่อเป็นที่สถานที่หย่อนใจและรำลึกถึงชาวดัตช์ ภายในถูกจัดให้เหมือนเมืองฮอลแลนด์ที่มีทั้งกังหันลม ทุ่งดอกทิวลิป ลำคลอง บ้านไม้จำลอง พระราชวังของพระราชีนี Beatrix แห่งเนเธอร์แลนด์ และอื่นๆ อีกมากมาย





ขอบคุณภาพประกอบจาก
Map of Japan ,konggal.wordpress.com ,dres2222 ,japan-guide.com
tripadvisor.com ,Chaos and Kanji ,japancheckin.com ,en.wikipedia.org
LASTING TRANSITIONS ,Cori ,blackpanpawee ,napiratravel.com